ทุกข์โดยนัยที่หนึ่ง
ทุกข์โดยนัยที่หนึ่งมี 12 ประการ ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส อัปปิเยหิสัมปโยค ปิเยหิวิปปโยค ยัมปิจฉังนลภติตัมปิ และอุปาทานขันธ์ 5
1 . ชาติ
ชาติ คือ ความเกิด การก้าวลง การบังเกิด ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การกลับมาได้อายตนะทั้งหลาย อุปมาเหมือนวัตถุสิ่งหนึ่งที่อยู่ในที่ลับ เวลาปรากฏขึ้นมา อาการของวัตถุนั้นเป็นเพียงลักษณะที่ปรากฏ แต่ไม่ใช่ตัววัตถุ
2 . ชรา
ชรา คือ ความแก่ เช่น ฟันหัก ผมหงอก หนังห่อเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความเสื่อมแห่งอินทรีย์ อุปมาเหมือนน้ำ ลม และไฟ ไม่ปรากฏทางไป จะปรากฏได้ก็เพราะอาศัยหญ้าและต้นไม้ ซึ่งโค่นล้มและมีร่องรอยว่าถูกไฟไหม้
3 . มรณะ
มรณะ คือ ความตาย จุติ ความเคลื่อน การแตกทำลาย ความหายไป ความแตกไปของขันธ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งร่างกาย การขาดไปแห่งชีวิตินทรีย์ อุปมาเหมือนกับต้นไม้ที่ยืนต้นตายแห้ง หรือต้นไม้ตายแห้งที่มีลำต้นอันทอดลงดิน ดูไร้สาระและไม่มีประโยชน์อันใด
4 . โสกะ
โสกะ คือ ความโศกเศร้า กิริยาโศกเศร้า สภาพโศกเศร้า ความแห้งผากภายใน ความแห้งกรอบภายใน ความเกรียมใจ ความโทมนัส ของผู้ที่ถูกกระทบด้วยความเสื่อมญาติ ความเสื่อมโภคทรัพย์ ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิ ของผู้ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง ของผู้ที่ถูกกระทบด้วยเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง
5 . ปริเทวะ
ปริเทวะ คือ ความร้องไห้ ความคร่ำครวญ กิริยาร้องไห้ กิริยาคร่ำครวญ สภาพร้องไห้ สภาพคร่ำครวญ ความบ่นถึง ความพร่ำเพ้อ ความร่ำไห้ ความพิไรร่ำ กิริยาพิไรร่ำ สภาพพิไรร่ำ ของผู้ที่ถูกกระทบด้วยความเสื่อมญาติ ความเสื่อมโภคทรัพย์ ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิ ของผู้ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง ของผู้ที่ถูกกระทบด้วยเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง
6 . ทุกข์
ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ความทุกข์กาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส
7 . โทมนัส
โทมนัส คือ ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส
8 . อุปายาส
อุปายาส คือ ความคับแค้นใจ ความขุ่นแค้นใจ สภาพคับแค้นใจ สภาพขุ่นแค้นใจ ของผู้ที่ถูกกระทบด้วยความเสื่อมญาติ ความเสื่อมโภคทรัพย์ ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิ ของผู้ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง ของผู้ที่ถูกกระทบด้วยเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง
9 . อัปปิเยหิสัมปโยค
อัปปิเยหิสัมปโยค คือ การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก คือ การประสบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เช่น ความเสื่อมลาภ ความเสื่อมยศ ถูกนินทา ประสบความทุกข์กาย ทุกข์ใจ เป็นต้น
10 . ปิเยหิวิปปโยค
ปิเยหิวิปปโยค คือ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก คือ ความพลัดพรากจาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เช่น คนที่เรารักเคารพต้องล้มหายตายจาก สัตว์ สิ่งของ และสังขารอันเป็นที่รัก ต้องถึงความวิบัติ เป็นต้น
11 . ยัมปิจฉังนลภติตัมปิ
ยัมปิจฉังนลภติตัมปิ คือ ความต้องการสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ในความปรารถนาที่ว่า
1 . ขอเราจงอย่ามี ชาติ เลยหนอ
2 . ขอเราจงอย่ามี ชรา เลยหนอ
3 . ขอเราจงอย่ามี มรณะ เลยหนอ
4 . ขอเราจงอย่ามี โสกะ เลยหนอ
5 . ขอเราจงอย่ามี ปริเทวะ เลยหนอ
6 . ขอเราจงอย่ามี ทุกข์ เลยหนอ
7 . ขอเราจงอย่ามี โทมนัส เลยหนอ
8 . ขอเราจงอย่ามี อุปายาส เลยหนอ
12 . อุปาทานขันธ์ 5
อุปาทานขันธ์ 5 คือ ความยึดมั่นถือมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ อันเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทั้งหลาย ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว 11 ประการในข้างต้น
ทุกข์โดยนัยที่สอง 10
ทุกข์โดยนัยที่สองมี 10 ประการ ได้แก่ นิพัทธทุกข์ พยาธิทุกข์ อาหารปริเยฏฐิทุกข์ สภาวทุกข์ วิวาทมูลกทุกข์ สหคตทุกข์ วิปากทุกข์ ปกิณณกทุกข์ สันตาปทุกข์ และทุกขขันธ์
1 . นิพัทธทุกข์
นิพัทธทุกข์ คือ ทุกข์เนืองนิตย์หรือทุกข์ตลอดเวลา ได้แก่ ความไม่สบายกายที่เกิดจากอากาศหนาว อากาศร้อน ความหิว ความกระหาย อาการปวดอุจจาระ อาการปวดปัสสาวะ ซึ่งเป็นทุกข์ทางกาย อันเป็นสมบัติของทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกนี้
2 . พยาธิทุกข์
พยาธิทุกข์ คือ ทุกข์อันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้าเบียดเบียน ก่อให้เกิดความไม่สบายกายนานัประการ ด้วยเหตุแห่งความผิดปรกติของร่างกาย ประการใดประการหนึ่ง
3 . อาหารปริเยฏฐิทุกข์
อาหารปริเยฏฐิทุกข์ คือ ทุกข์อันเกิดจากการที่มีหน้าที่ต้องแสวงหาอาหารมาเลี้ยงชีพจนกว่าจะตายไปจึงจะหมดหน้าที่ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้อาหารมาบำรุง
4 . สภาวทุกข์
สภาวทุกข์ คือ ทุกข์อันเกิดจาก ชาติ ชรา และมรณะ เป็นทุกข์ที่เป็นสมบัติของผู้เกิดอีกประการ อันไม่มีตัวตนบุคคลใดสามารถหลีกเลี่ยงไปได้
5 . วิวาทมูลกทุกข์
วิวาทมูลกทุกข์ คือ ทุกข์อันเกิดจากการทะเลาะวิวาทหรือขัดแย้งกับผู้อื่น เนื่องด้วยการใช้ชีวิต การกินอยู่หลับนอน การทำการทำงานในชีวิตประจำวัน ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเชื่อมต่อปฏิสัมพันธ์กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นที่แน่นอน ด้วยความที่วัตถุอันจะหามาสนองตอบต่อความต้องการของมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่มีความจำกัด และด้วยความที่เป็นปุถุชนผู้ยังมีกิเลสอยู่จึงอาจมีการกระทบกระทั่งซึ่งกันและกันบ้างในบางครั้ง
6 . สหคตทุกข์
สหคตทุกข์ คือ ทุกข์อันเกิดจากความมีอัตตาใน ลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุขที่ตนมีอยู่ ต้องคอยดูแลทรัพย์สินของตนมิให้สูญหายหรือถูกขโมย มีตัวกูของกูในยศฐาบรรดาศักดิ์ กระหยิ่มยิ้มย่องยินดีในคำสรรเสริญเยินยอของผู้อื่น สำคัญตนเป็นนั่นเป็นนี่จนจมไม่ลง และตักตวงมอมเมาในวัตถุกามต่างๆนานา โดยคิดเอาว่าเป็นกำไรชีวิตที่ต้องรีบเร่งสวาปามให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก่อนที่ตนจะตายจากโลกนี้ไป
7 . วิปากทุกข์
วิปากทุกข์ คือ ทุกข์อันเกิดจากอกุศลกรรมที่ตนได้เคยก่อเอาไว้ ไม่ว่าในชาตินี้หรือชาติปางก่อนก็ตาม กลับมาส่งผลให้ต้องรับทุกข์รับกรรม ในสิ่งที่ตนได้เคยกระทำลงไป
8 . ปกิณณกทุกข์
ปกิณณกทุกข์ มี 3 ประการ ได้แก่
- ทุกข์อันเกิดจากการประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก คือ การประสบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เช่น ความเสื่อมลาภ ความเสื่อมยศ ถูกนินทา ประสบความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
- ทุกข์อันเกิดจากความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก คือ ความพลัดพรากจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เช่น คนที่เรารักเคารพต้องล้มหายตายจาก สัตว์ สิ่งของ และสังขารอันเป็นที่รักต้องถึงความวิบัติ
- ทุกข์อันเกิดจากความต้องการสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ในความปรารถนาที่ว่า
- ขอเราจงอย่ามี ชรา เลยหนอ
- ขอเราจงอย่ามี มรณะ เลยหนอ
- ขอเราจงอย่ามี โสกะ เลยหนอ
- ขอเราจงอย่ามี ปริเทวะ เลยหนอ
- ขอเราจงอย่ามี ทุกข์ เลยหนอ
- ขอเราจงอย่ามี โทมนัส เลยหนอ
- ขอเราจงอย่ามี อุปายาส เลยหนอ
สันตาปทุกข์ คือ ทุกข์อันเกิดจากการถูกกิเลสเผาลน เช่น ความโลภ ความโกรธ ความอิจฉาริษยา ความปรารถนา และความใคร่ จนร้อนรุ่มในใจไปหมด ไม่สามารถที่จะละวางลงได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้สนองตอบต่อความต้องการของตน
10 . ทุกขขันธ์
ทุกขขันธ์ คือ ทุกข์จากการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งเรียกการยึดมั่นถือมั่นนี้ว่า " อุปาทานขันธ์ 5 " นั่นเอง
--------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ: บทความทั้งหมดคัดจากหนังสือ อริยสัจทีปนี เรียบเรียงโดย พสุ การค้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น